วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2557

รู้ไว้ซะ! 5 : กระเพาะปัสสาวะอักเสบ...อักเสบจริงๆนะ

                                                                                รูปภาพที่ 1

          ใครมีอาการปวดหน่วงท้องน้อย ปวดท้องเวลาปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย ไม่สุด กลั้นไม่ไหว มีเลือดปนมากับปัสสาวะ ยกมือขึ้น!!! ตะหงิดๆไว้เลยว่าซวยแล้ววว คุณเข้าข่ายเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบซะละ แต่ไม่ต้องกลัวครับ โรคนี้สามารถหายเองได้ถ้าอาการไม่หนักและสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยา หลายๆคนอาจเป็นอยู่แต่ไม่ได้รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ มันจะมีอาการน่ารำคาญเล็กๆน้อยๆไปจนถึงอาการหนักจนถึงเข้าโรงพยาบาลเลยก็มี ทีนี้เรามารู้กันดีกว่าว่าจริงๆแล้วมันคืออะไร สาเหตุมันมาจากอะไร อาการของโรคนี้เป็นอย่างไร และการรักษารวมทั้งวิธีการป้องกันควรจะเป็นอย่างไร 

                                                                            รูปภาพที่ 2

          โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ชื่อภาษาอังกฤษทางการแพทย์เรียกว่า Cystitis (ซิส-ไต-ติส) โดยทั่วไปเกิดได้กับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเนื่องจากท่อปัสสาวะของเพศหญิงสั้นกว่าเพศชาย ซึ่ง สาเหตุของโรคที่แท้จริงแล้ว เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียซึ่งส่วนใหญ่คือเชื้อ E.coli ในกระเพาะปัสสาวะ แล้วไอ้แบคทีเรียเนี่ยมันมาติดได้ไง.... แบคทีเรียเนี่ยมันติดมาผ่านทางเดินปัสสาวะ ซึ่งปัจจัยหลายๆอย่างที่ส่งผลต่อการเกิดโรคนี้ก็เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การดื่มน้ำน้อย การกลั้นปัสสาวะบ่อยครั้ง การทำความสะอาดหลังจากเข้าห้องน้ำที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น 

อาการของโรคนี้ก็มีได้พูดไว้ในบทนำไว้บ้างแล้วก็ตามนั้นเลย มีอาการตั้งแต่
ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย
ปวดท้องเวลาปัสสาวะ
ปัสสาวะบ่อย ไม่สุด
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
ปัสสาวะมีกลิ่นเหม็น
สีขุ่น
มีเลือดปนมากับปัสสาวะ
ปวดแสบบริเวณท่อปัสสาวะเวลาถ่าย
ปวดบริเวณหลังใต้ชายโครงซึ่งแบบนี้สันนิษฐานว่าเชื้อลุกลามไปยังกรวยไตละควรรีบไปพบแพทย์ด่วนๆ 

          การรักษาของโรคนี้คือ 
1.พยายามดื่มน้ำมากๆ 2-4 ลิตรต่อวันเพื่อขับเชื้อโรคไปกับปัสสาวะ 
2.รักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือยาฆ่าเชื้อซึ่งสามารถปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก็ได้ อีกทั้งเพื่อคัดกรองแยก
โรคอื่นๆออกไปเช่น ต่อมลูกหมากโต นิ่ว เป็นต้น 

                                                                                  รูปที่ 3
          วิธีการป้องกันง่ายมาก... 
1.พยายามดื่มน้ำมากๆให้ได้อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน 
2.ไม่อั้นปัสสาวะบ่อยครั้งทั้งหญิงและชายเพราะจะเป็นแหล่งเพราะเชื้ออย่างดีโดยเฉพาะผู้หญิงเพราะท่อปัสสาวะที่สั้น 
3.การรักษาความสะอาดให้ดีหลังจากเข้าห้องน้ำโดยเฉพาะผู้หญิง เช่น การทำความสะอาดหลังจากอุจจาระให้เช็ดจากหน้าไปหลัง เปลี่ยนผ้าอนามัยสม่ำเสมอในช่วงที่มีปอจอดอเพราะเลือดเป็นแหล่งของเชื้อชั้นดี เป็นต้น

          ไปๆมาๆชักจะยาวไปละบทความนี้ กลัวเนื้อหาจะไม่ครบถ้วน เอ้า!ยังไงดูละกันครับ 

          รู้ไว้ซะ! อั้นปัสสาวะบ่อยๆ ดื่มน้ำน้อยต่อวัน ไม่รักษาความสะอาดหลังจากเข้าห้องน้ำหรือช่วงเวลามีปอจอดอมา มีโอกาสเป็นโรคกระเพาะอักเสบได้ง่ายนะครับบ



แหล่งอ้างอิงรูปภาพ
1.รูปภาพที่ 1 : http://www.kroobannok.com/blog36603
2.รูปภาพที่ 2 : http://hbmag.comcuring-interstitial-cystitis-as-simple-as-1-2-3-4
3.รูปภาพที่ 3 : http://pr.prd.go.thsamutprakanewt_news.phpnid=625&filename=index

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

รู้ไว้ซะ! 4 : ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน

                                                                                รูปภาพที่ 1
          
          เรื่องยาคุมกำเนิดมีเกริ่นมาตั้งแต่บทความที่แล้วเรื่องหน้า 7 หลัง 7 ว่าจะพูดถึงบทความเรื่องต่อๆไป งั้นยาคุมกำเนิดชนิดแรกที่จะนำเสนอคือ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดรับประทาน ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าฉุกเฉินใช้เฉพาะยามจำเป็นเท่านั้น บทความนี้เราจะมารู้กันว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉินไว้ใช้สำหรับกรณีไหนได้บ้าง วิธีกินอย่างไร มีตัวยาไหนเป็นตัวยาสำคัญ และประโยชน์โทษมีอะไรบ้าง ผลข้างเคียงต่างๆที่อาจเกิดขึ้นถ้าหากเรากินบ่อยครั้งเกินไป ขอออกตัวก่อนเลยว่าบทความนี้ไม่ได้มีขึ้นเพื่อสนับสนุนให้คนมีเพศสัมพันธุ์โดยที่ยังไม่พร้อมรวมทั้งไม่มีการป้องกัน เพราะอย่างที่บอกว่ายาคุมกำเนิดชนิดนี้ให้กินเฉพาะเวลาฉุกเฉินจริงๆ เช่น มีเพศสัมพันธุ์ในวัยที่ยังไม่พร้อมโดยที่มีการป้องกัน การถูกข่มขืน นับหน้า 7 หลัง 7 พลาด มีการรั่วหรือฉีกขาดของถุงยางอนามัย เป็นต้น อยากรู้เป็นไงตามต่อเลย...
          
          ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจริงๆแล้วหลายคนอาจเข้าใจผิดว่าเป็นยา แต่ที่จริงแล้วนั้นเป็นฮอร์โมนที่สูงกว่ายาคุมกำเนิดทั่วไปถึง 2 เท่า โดยชนิดที่เห็นได้บ่อยเป็นประจำคือ ชนิดที่มีฮอร์โมน Progesterone (โปรเจสเตอโรน) เพียงอย่างเดียว ชื่อ Levonorgestrel (เลโวนอร์เจสเทรล) ซึ่งมีขนาดเม็ดละ 0.75 มิลลิกรัม การออกฤทธิ์ของฮอร์โมนตัวนี้คือ ยับยั้งการตกไข่ ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวขึ้นและยากต่อการฝังตัวของไข่ รวมทั้งส่งผลให้ภายในช่องคลอดมีสารคัดหลั่งเป็นลักษณะมูกเหนียวข้นทำให้ยากต่อการทำให้อสุจิเข้าไปผสมกับไข่

รูปภาพที่ 2

          แล้วกินไงอะ?!? วิธีกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินนะครับ กินเม็ดแรก(0.75 mg)ให้เร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธุ์ จากนั้นกินอีก 1 เม็ด(0.75 mg)หลังจากกินเม็ดแรกไป 12 ชั่วโมง” หรือ กินครั้งเดียว 2 เม็ด (1.5 mg) ภายใน 120 ชั่วโมง(5 วัน) ซึ่งการกินแบบหลังนั้นเป็นที่อาจจะไม่คุ้นเคยเท่าไหร่นักในประเทศไทยแต่เป็นแบบแผนที่องค์การอนามัยโลก(WHO) ได้แนะนำไว้เหมือนกันครับ โดยประสิทธิภาพการป้องกันการตั้งครรภ์นั้นอยู่ที่ 52-94% ขึ้นอยู่กับการกินยาว่าเร็วหรือช้า โดยแนะนำว่าไม่ควรใช่เกิน 2 ครั้งต่อเดือนไม่งั้นอาจเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงตามาได้

          อย่างที่เคยได้ยินมาไม่ว่าอะไรก็ตามในโลกมีทั้ง 2 ด้านมีทั้งประโยชน์และโทษ ยาก็เช่นเดียวกันมีประโยชน์ก็มีโทษได้เช่นเดียวกัน ถ้าหากเรากินมากหรือบ่อยครั้งเกินไปรวมทั้งมีผลข้างเคียงที่อาจตามมาได้ด้วย เช่น คลื่นไส้อาเจียน ประจำเดือนมาผิดปกติ มากะปริดกะปรอย และหากใช้บ่อยครั้งอาจส่งผลให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้รวมทั้งการเป็นมะเร็งปากมดลูกด้วย


          รู้ไว้ซะ! ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินใช้เฉพาะเวลาฉุกเฉินเท่านั้น เช่น มีเพศสัมพันธุ์ในวัยที่ยังไม่พร้อมตั้งครรภ์โดยไม่มีการป้องกัน การโดนข่มขืน นับหน้า 7 หลัง 7 พลาด ถุงยางรั่วหรือฉีกขาด เป็นต้น และควรกิน “เม็ดแรกให้เร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมงและอีกเม็ดห่างกับเม็ดแรก 12 ชั่วโมง” หรือ “2 เม็ดพร้อมกันให้เร็วที่สุดภายใน 120 ชั่วโมง(5 วัน)” 



แหล่งอ้างอิง 
33. รูปภาพที่ 2 : http://frynn.com

วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รู้ไว้ซะ! 3 : หน้า 7 หลัง 7...ท้องไม่ท้อง

            
                                             ที่มารูปภาพ : http://www7.excise.go.th/sara/month.html
          
          ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นก่อนครับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องพี่ที่ทำงานที่โรงพยาบาลมาถามว่า เอ๊ะหน้า 7หลัง 7 นี่มันนับยังไงอะ มันชัวร์หรอไม่ท้องแน่หรอแล้วใช้ได้กับทุกคนหรอ ผมก็..ดีเลยจะได้มาเขียนให้ผู้อ่านได้อ่านกันด้วย หลายๆคนอาจจะคิดว่า เอ๊ะ ช่วงหน้า 7 หลัง 7 นี้เป็นช่วงที่ถ้าเรามีเพศสัมพันธ์ท้องชัวร์ เอ้ยหรือไม่ท้อง อ่าวสรุปจะอะไร ยังไง....อยากรู้ตามต่อเลยกัน

           ต้องขอบอกเลยว่า หน้า 7 หลัง 7 เนี่ย เป็นระยะปลอดภัยที่ว่า ถ้าเรามีเพศสัมพันธ์แล้วจะมีโอกาสตั้งครรภ์น้อย แต่.... ไม่ใช่ว่าไม่ท้อง 100นะครับ มีโอกาสตั้งครรภ์เหมือนกันแต่น้อย เพราะในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่มดลูกรวมทั้งฮอร์โมนต่างๆในร่างกายนั้นไม่ได้อยู่ในสภาวะที่พร้อมจะมีการตั้งครรภ์หรือเป็นระยะที่ไม่มีการตกไข่นั่นเอง

            คราวนี้มาดูกันว่า หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร…..
        หน้า 7 ก็คือช่วงก่อน 7 วันที่คาดว่าจะมีประจำเดือนมา และหลัง 7 ก็คือนับรวมวันแรกที่มีประจำเดือนเป็นวันที่ 1 และนับต่อไปอีก 6 วันจนครบ 7 วัน เราลองมาดูรูปภาพเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นดีกว่า



         อย่างนี้แล้วเนี่ยการที่เราจะรู้ได้ว่าเราจะควรเริ่มนับหน้า 7 ได้เมื่อไหร่ก็ต่อเมื่อเราต้องคาดเดาได้ว่า ประจำเดือนเราจะมาเมื่อไหร่ซึ่งก็เหมาะสำหรับคนที่มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอซึ่งรอบเดือนโดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงจะมีรอบเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 28 วันขึ้นกับแต่ละบุคคลด้วย ดังนั้นถ้าจะให้ชัวร์ว่าหน้า 7 หรือหลัง 7 ชัวร์กว่ากัน ก็ต้องบอกว่าหลัง 7 ชัวร์กว่าแน่นอน แต่ก็เป็นช่วงที่ฝ่าไฟแดงพอสมควร เพราะว่าเป็นช่วงที่มีประจำเดือนมา เป็นการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก ดังนั้นวันที่นอกเหนือจาก หน้า 7 หลัง 7 นั้นถ้าหากเรามีเพศสัมพันธ์ก็จะเป็นช่วงที่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้สูงเลยทีเดียว

          อย่างไรก็ตามการนับหน้า 7 หลัง 7 นั้นไม่เพียงไม่รับประกันว่าจะไม่ท้อง รวมทั้งไม่สามารถป้องกันเรื่องการติดต่อโรคทางด้านเพศสัมพันธ์ได้ เช่น การติดเชื้อ HIV, โรคซิฟิลิส, หนองใน เป็นต้น ดังนั้นทางที่ดีที่สุดถ้าหากเราห้ามจิตใจหรืออารมณ์ให้มีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ก็ควรจะสวมถุงยางอนามัยจะเป็นการดีที่สุด ป้องกันโรคติดต่อได้ ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ หาซื้อได้ตามทั่วไป ราคาไม่แพง ดีกว่าปล่อยให้มีการตั้งครรภ์ในวัยที่ยังไม่พร้อมแล้ว หรืออาจจะเป็นการคุมกำเนิดในรูปแบบอื่นๆ เช่น การกินยาคุมกำเนิด การฉีดยาคุมกำเนิด การใช้ห่วงอนามัย เป็นต้น ส่วนรายละเอียดในเรื่องของยาคุมกำเนิดถ้าอยากรู้จะอยู่ในบทความต่อๆไป โปรดติดตาม
               
          รู้ไว้ซะ! การนับหน้า 7 หลัง 7 นี้ไม่ได้การันตีว่าจะไม่ท้องชัวร์ 100% แค่มีโอกาสน้อยในการตั้งครรภ์ รวมทั้งเหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนมาอย่างสม่ำเสมอด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

รู้ไว้ซะ! 2 : ยาฆ่าเชื้อ....... ไม่ใช่ยาแก้อักเสบ


                                        ที่มารูปภาพ : http://oceanservice.noaa.gov/news/weeklynews/jan13/antibiotics.html

หัวข้อนี้คนอ่านอาจจะเจอมาหลายครั้งแล้วแต่ผมขอมาย้ำเตือนกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้คนที่ได้อ่านจำฝังลึกมากยิ่งขึ้นรวมทั้งช่วยกันเผยแพร่บอกต่อพ่อแม่พี่น้องนะครับ

หลังจากที่ผมได้เข้าไปทำงานในโรงพยาบาลอยู่ได้ซักพักหนึ่งก็มีโอกาสได้มาจ่ายยาคนไข้ที่หน้าเคาน์เตอร์และหลายครั้งที่คนไข้มารับยากับผมก็มักจะได้รับคำถามไปว่าวันนี้มีอาการอะไรมาครับ” “ไม่สบาย เจ็บคอ กลืนน้ำลายไม่ลง มีน้ำมูก ไอมักจะเป็นอาการที่พบได้บ่อย และก็อีกเช่นเดียวกันคนไข้มักจะถามหาว่าแพทย์จ่ายยา แก้อักเสบมาหรือป่าว ซึ่งผมก็รู้สึกหงุดหงิดใจทุกครั้งที่คนไข้ถามหาแบบนี้  และทุกครั้งผมก็จะบอกคนไข้กลับไปด้วยคำภาพที่สุภาพว่า รบกวนเรียกว่า ยาฆ่าเชื้อได้ไหมครับทำไม? เพราะอะไร? ไปดูกัน

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ไม่ใช่ทุกคนเสมอไปที่มาด้วยอาการเจ็บคอ ไม่สบาย มีน้ำมูก ไอมาจะได้ยาฆ่าเชื้อทุกคน เพราะแพทย์ต้องตรวจวินิจฉัยแล้วว่ามีการติดเชื้อจริงจึงจะได้รับยาฆ่าเชื้อ อาการจะเกิดจากเบื่อบุภายในคออักเสบจากการติดเชื้อ ทำให้เจ็บคอ คอแดงมาก หรือมีจุดหนองคอ ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อไวรัส เช่น Coronavirus, Rhinovirus, Adenovirus เป็นต้น รองลงมาคือ เชื้อแบคทีเรีย  ซึ่งเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยเช่น Streptococcus spp. (โดยเฉพาะ S.pyogenes)  เป็นต้น แบบนี้จึงจะได้รับพิจารณาให้ได้ยาซ่าเชื้อกลับบ้านกันไป

เหตุใดจึงต้องเรียกว่ายาฆ่าเชื้อ? ผมเจอกับตัวเองบ่อยครั้งมากที่คนไข้เรียกว่ายาแก้อักเสบ แล้วเคยเจอเหมือนกันที่คนไข้ มีอาการปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ นำยาฆ่าเชื้อที่เขามักเรียกว่ายาแก้อักเสบไปกินแก้ปวดหลัง  ซึ่งมันแบบ โอยยยย ไม่ใช่เลยครับ มันคนละสาเหตุเลย อาการปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออักเสบพวกนั้นมันต้องกินยาแก้อักเสบ เช่น ยาในกลุ่ม NSAID (non-steroidal anti-inflammatory drug)พวก Ibuprofen, Celebrex, Arcoxia เป็นต้น ไม่ใช่มากินยาแก้ฆ่าเชื้อ(ที่ผมบอกแล้วบอกอีกกับคนไข้ว่าให้เรียกว่ายาฆ่าเชื้อไม่ใช่ยาแก้อักเสบ) แล้วลองคิดดูนะครับถ้าคนไข้หลายๆคนเข้าใจผิดแบบนี้จะเกิดขึ้นอะไรกับคนไข้พวกนี้ หายปวดหลังก็ไม่หาย หรืออาจจะหายแต่หายช้าลงซึ่งก็ไม่ใช่ผลมาจากยาที่กินเข้าไป รวมทั้งอาจจะส่งผลต่อการดื้อยาฆ่าเชื้อก็เป็นได้


รู้ไว้ซะ! คราวหน้าคราวหลังไปซื้อยาหรือถามหายา รบกวนเรียกว่า ยาฆ่าเชื้อนะครับ...



รู้ไว้ซะ! 1 : intro to Myself

       


          ก่อนอื่นต้องขอบอกเลยว่า ผม  กระแดะอยากทำบลอคเหมือนคนอื่นเค้า อ่านของคนอื่นมาเยอะ ไม่ว่าจะเรื่องการเงิน การตลาด หรือจะเรื่องอะไรก็ตาม รู้สึกว่ามีประโยชน์บ้างหรือไร้สาระบ้างก็ตาม จนมาวันนี้เลยตัดสินใจที่จะเขียนบลอคของตัวเองบ้างอาจจะใช้คำบางทีที่ดูแปลกๆหรือไม่สละสลวย เพราะผมเองก็ไม่ใช่นักเขียนมืออาชีพแต่เอาที่แบบให้คนอ่านเข้าใจง่ายที่สุดก็แล้วกันครับไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิคอะไรมากมาย    
     
          เรื่องที่ผมอยากจะเขียนก็เกี่ยวกับนี่หละ เรื่อง ยาและเรื่องสุขภาพที่ได้เรียนมาหรืออ่านมาหรือจากประสบการณ์ที่ทำงานเภสัชกรในโรงพยาบาลมา รวมทั้งอาจจะเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่น่าสนใจให้เหมาะกับวัยรุ่นที่เพิ่งจะจบจากการเรียนในมหาลัย อยู่ในช่วงเริ่มต้นของวัยทำงาน ก็อยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านกัน ถ้าหากที่ข้อผิดพลาดประการใดก็ทักท้วงหรือบอกกล่าวกันได้เลยครับ จะได้มีประโยชน์สูงสุดต่อผู้ที่ได้เข้ามาอ่านในบลอคนี้